surch02


Custom Search

2012-04-20

Memory Collection

เมมโมรี่คอลเลคชั่น

หนังสือ หายาก การเมืองเรื่องตัณหา และ สันดานหนังสือพิมพ์ ของท่าน สมัคร สุนทรเวช

เรียนรู้จากประสบการณ์ของท่านได้ จากหนังสือในยุคปีพศ. 2520-2521 ฉบับพิมพ์ครั้งแรก

คงไม่ต้องบอกว่าหายากไหม คุณค่าพิสูจน์ได้ในทุกแผ่น สภาพสมบรูณ์ที่สุด เล่มเดียวว่าหายากแล้ว

แต่โอกาสนี้ มีมาให้ท่านเก็บทีเดียว สองเล่ม เป็นชุดที่ต่อเนื่องกัน ใครที่ชื่นชอบในตัวตนของท่านสมัคร สุนทรเวช

นี่คือผลงานชิ้นคลาสสิค 

(จัดเป็นชุด 2 เล่มราคา 200 บาทครับค่าขนส่ง 50 บาท รวมเป็น 250 บาทครับ)

หน้าปก ทั้งสองฉบับ


ปกหลัง

ต้องการสั่งซื้อ ติดต่อได้ที่ อีเมล์ asuteery@gmail.com
 โอนเงินเข้าบัญชี ออมทรัพย์ ธ.กรุงไทย เลขที่ 121-1-16160-9

มีเหลือเพียงสองเล่มสุดท้ายเท่านั้น

2012-04-18

ม้าทรง ในเทศกาลกินเจ

ม้าทรง



 

เรื่องเหนือธรรมชาติ ที่เป็นเรื่องปกติ ในเทศกาลกินเจ


          การแสดงอิทธิฏิหารย์ ของบรรดาร่างทรง(หรือม้าทรง)
ของเหล่าเทพ ที่ลงมาประทับทรง มีให้ท่านพิสูจน์ด้วยสายตาตัวเอง
ในทุกๆปี การทิ่มแทงตนเองด้วยของมีคม ของแหลมต่างๆ ทั้งมีด ดาบ ขวาน
แทงทะลุเข้าไปตามร่างกายส่วนต่างๆ โดยมากมักจะแทงตามกระพุ้งแก้ม
ใบหู ผิวหนังตามแขน ขา แผ่นหลัง ซึ่งผู้ที่จะมาทำหน้าที่ม้าทรงในเทศกาล
ได้ จะต้องปฏิบัติตัวอยู่ในศีลอย่างเคร่งครัดเป็นเวลาก่อนหน้าเทศกาลนับเดือน
การแสดงอิทธฤทธิ์ของเทพ เชื่อว่าในภายหลังแผลต่างๆที่เกิดขึ้นจะเลือนหายไปอย่าง
รวดเร็ว แม้ระหว่างการประกอบพิธี ก็ไม่มีอาการเจ็บปวด ไม่ว่าจะเดินลุยไฟ ไต่บันไดมีด
กรีดด้วยของมีคมตามร่างกาย และลิ้น เหล่าม้าทรง แห่ไปตามถนนอย่างไม่สะทกสะท้าน




Vegetarian Festival



Basically Chinese in origin and practice, Vegetarian Festival has  assimilated
elements from other cultures over the years and is now a unique combination
of religious piety, ritual, merry-making, and spectacular displays of supernatural powers.

The festival's origins are obscure, but it appears to have started in the mid 19th
century in the centrally-located Kratu District among Chinese who flocked to work
as tin miners. Many of these immigrants were undoubtedly familiar with the
ancient Chinese practice of turning vegetarian for a period of time,
 generally during the ninth month of the lunar calendar. Abstaining from meat was
supposed to purify the body and mind, avert potential disaster, and generally
promote good fortune.

The festival's most colorful event and includes penitentiary acts of self-mutilation as the price for fullfillment of a previously requested event such as the cure of an illness or advent of financial success.



A thorough cleaning of the shrines takes place on the day before the ceremony begins.
Sandalwood and joss sticks are burned to purify the precincts. In the afternoon, a lage
post is erected before each shrine to surve as a residence for the nine spirits who preside
over the rites; their presence is symbolized by nine lamps hung on the post.

The gods are honored with vegetarian food offerings which are essentially the same
 as the diet observed by believers during the festival period: rice, cabbage, beans, carrots,
pumpkins, and various fruits. People may eat this food at the temples or take it home;
all the raw materials have been donated in advance by the community.

Each temple displays a formidable array of knives, swords, axes, and other weapons which
play a prominent role in the ceremony as it is presently observed on Phuket.
It is believed that the supernatural powers of the gods are transferred to those who have
purified themselves, thus enabling believers to endure a wide variety of self-inflicted ordeals, from forcing sharp rods through their cheeks to walking on red-hot coals, without pain either during or after. There is no record of such practices being part of the Vegetarian Festival in ancient chaina, and vary likely they were borrowed from India, where self mortification is frequently found in Hindu ritual.

Another integral part of all the observances is the Bridge Crossing Ceremony, which alleviates bad fortune. The participants believe these rites will not only relieve present difficulties but also  mitigate those which may lie in the future.

Finally, each temple stages a fire-walking and knife-blade climbing extravaganza.
To outsiders, these seem nothing short of miraculous, defying all physical laws, for the purified do indeed walk calmly over beds of glowing charcoal and scale ladders with rungs of razor-sharp blades.
To disprove trickery, viewers are welcome to try themselves- though the lack of volunteers is conspicuous.
on the final evening everyone gathers in the city for the grand bash, complete with non-stop firecrackers to chase away bad spirits and accompany the nine gods on their annual journey back to heaven. At midnight the last rites are perfomed, the explosions subside, and town returns to normal for another year.

2012-04-16

Payanak,พญานาค



พญานาค,Payanak

ตามความเชื่อของคนไทย พญานาคคืองูใหญ่ พญางู เจ้าแห่งงู ที่สุดของที่สุดของงู
มีอิทธิฤทธิ์ มีพิษร้ายแรง จะว่าเป็นสัตว์ที่มีเลือดเนื้อก็ไม่น่าใช่ จะเป็นเทพ เทวดาหรือก็ไม่เข้ากรอบ
มีที่อยู่คือเมืองบาดาล แปลงกายเป็นคน มาอยู่ร่วมกับชาวบ้านทั่วไปได้ มีตำนานในทางพุทธศาสนา
ว่ามีความเลื่อมใส ในพระศาสนา จนอยากออกบวช แต่ติดที่กฎของการจะบวชเป็นพระได้ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น จึงไม่ได้รับอนุญาติให้บวช เป็นที่มาของตำนานการบวชนาค หาอ่านได้ในตอนต่อๆไป
    นาค หรือ พญานาค (อังกฤษ: N?ga, สันสกฤต: ???) เป็นความเชื่อในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเรียกชื่อต่าง ๆ กัน แต่มีลักษณะร่วมกัน คือ เป็นงูขนาดใหญ่มีหงอน เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสู่จักรวาลอีกด้วย

ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะมาจากอินเดีย ด้วยมีปกรณัมหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ นาคถือเป็นปรปักษ์ของครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่

ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี 7 สี เหมือนสีของรุ้ง และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม

 

ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติ


ชาวฮินดูถือว่า นาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้

นาคมีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ มีอิทธิฤทธิ์และมีชีวิตใกล้กับคน สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น

นาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 จะต้องปรากฏรูปลักษณ์เป็นนาคเช่นเดิม คือ ขณะเกิด, ขณะลอกคราบ, ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับโดยไม่มีสติ และตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม

นาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง, ตะขาบ, คางคก, มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน

นาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์

นาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วสมสู่กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร

สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลกจนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ[1]

ความเชื่อเกี่ยวพันกับชีวิต น้ำและธรรมชาติ


นาคเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ จึงปรากฏความเชื่อเรื่องนาคที่เกี่ยวกับน้ำไว้ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช[[ไฟล์:

ที่ปราสาทพนมรุ้ง คูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ ดังนั้น นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมี พญานาค ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริงๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น

แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์

อย่างไรก็ตามยังมีความเชื่ออีกไม่น้อยที่คิดว่า พญานาคจะปรากฎให้เห็นกัน แบบตัวเป็นๆ ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลว่า เป็นสัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์ คือมันไม่จำเป็นต้องมีร่างกาย  และดำรงค์ชีวิตตามแบบสัตว์โลกทั่วไป ไม่ต้องกินอาหาร ไม่ต้องออกมาดำผุดดำว่าย แต่ความเชื่อ และความลึกลับในโลกนี้ก็ยังเดินเคียงกันไป

ภาพที่น่าฉงน

ภาพจากการบันทึกที่เชื่อว่าเป็นพญานาคในแม่น้ำโขง จ.มุกดาหาร
เกลียวคลื่นที่กลางบึง จ.สกลนคร



ภาพที่มักใช้เพื่อเชื่อมโยงการมีตัวตนของพญานาคในหมู่คนพื้นเมือง
แท้จริงก็เป็นเพียงปลาทะเลน้ำลึกชนิดหนึ่ง
จับกันได้อยู่เสมอ

Oarfish

Oarfish are large, greatly elongated, pelagic Lampriform fishes comprising the small family Regalecidae.[1] Found in all temperate to tropical oceans yet rarely seen, the oarfish family contains four species in two genera. One of these, the king of herrings (Regalecus glesne), is listed in the Guinness Book of World Records as the longest bony fish alive, at up to 17 metres (56 ft) in length.[2][3]
The common name oarfish is presumably in reference to either their highly compressed and elongated bodies, or to the former (but now discredited) belief that the fish "row" themselves through the water with their pelvic fins.[4] The family name Regalecidae is derived from the Latin regalis, meaning "royal". The occasional beachings of oarfish after storms, and their habit of lingering at the surface when sick or dying, make oarfish a probable source of many sea serpent tales.
Although the larger species are considered game fish and are (to a minor extent) fished commercially, oarfish are rarely caught alive; their flesh is not well regarded due to its gelatinous consistency.

Anatomy and morphology


The tapering, ribbony silver bodies of oarfish—together with an impressive, pinkish to cardinal red dorsal fin—help explain the perception of majesty taken from rare encounters. The dorsal fin originates from above the (relatively small) eyes and runs the entire length of the fish. Of the approximately 400 dorsal fin rays, the first 10 to 12 are elongated to varying degrees, forming a trailing crest embellished with reddish spots and flaps of skin at the ray tips. The pelvic fins are similarly elongated and adorned, reduced to 1 to 5 rays each. The pectoral fins are greatly reduced and situated low on the body. The anal fin is completely absent and the caudal fin may be reduced or absent as well, with the body tapering to a fine point. All fins lack true spines. At least one account, from researchers in New Zealand, describes the oarfish as giving off "electric shocks" when touched.[4]
Like other members of its order, the oarfish has a small yet highly protrusible oblique mouth with no visible teeth. The body is scaleless and the skin covered with easily abraded, silvery guanine. In the streamer fish (Agrostichthys parkeri), the skin is clad with hard tubercles. All species lack gas bladders and the number of gill rakers is variable.
Oarfish coloration is also variable; the flanks are commonly covered with irregular bluish to blackish streaks, black dots, and squiggles. These markings quickly fade following death. The king of herrings is by far the largest member of the family at a published total length of 11 metres (with unconfirmed reports of 15 metres or more) and 272 kilograms in weight. The streamer fish is known to reach 3 metres total length whilst the largest recorded specimen of Regalecus russelii measured just 540 centimetres standard length. It is probable that this little-known species can regularly reach a maximum length of at least 15.2 metres (50 ft).
From Wikipedia, the free encyclopedia

payanak

 

Payanak

The mythical animal payanak is represented in roofing omaments, statuary and
paintings in Buddhist temples throughout Cambodia, Thailand and Laos. It usually
 has a single dragon- like head, with a hom on the snout and a beard-Iike projection
from the chin, and a long, limbless snake- or fish-Iike body covered with scales.
 Although often referred to as a naga, it is derived from the "elephant-lion.. or gajasimha
 of the Khmer king Suryavarman II (reigned 1113-ca 1150). The payanak is associated
with numerous popular accounts and legends of Thailand and Laos and is frequently
portrayed in the popular as well as temple art of these countries.
A photograph bearing the false label "Payanak, Queen of the Nagas,
seized by American Arrny at Mekong River, Laos Military Base on June 27,1973.. has been
 widely distributed in Laos, Thailand, and elsewhere. The photo in question actually is
of a freshly dead oarfish, Regalecus glesne, stranded on Coronado Island, Califomia, on
 September 19, 1996.
see all