surch02


Custom Search

2012-07-15

เงือก Mermaid

เรื่องเกี่ยวกับเงือก



     เงือก เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมา น่าจะเป็นจินตนาการ ของคนเราที่มักจับเอาสิ่งต่างๆมาผสมรวมกัน
กับมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นคนครึ่งนก คนครึ่งปลา คนครึ่งสิงโต บางครั้งการมองเห็นสิ่งมีชีวิตในน้ำ
สภาพที่คลุมเครือ ก็อาจสร้างมโนภาพได้ว่าเป็นเงือก เช่นพะยูน ที่อาศัยในทะเลน้ำตื้น ก็คล้ายๆ
ว่าจะถูกมองเป็นเงือกได้

เรื่องของเงือกในประเทศไทย

      เงือกในประเทศไทย ถูกกล่าวขานมาตั้งแต่สมัยอดีต ผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่เป็นเงือกที่ได้รับความนิยม และกล่าวขวัญกันมากที่สุดก็คือ เงือกในวรรณคดีของ สุนทรภู่ เรื่อง พระอภัยมณี ที่นางเงือก (เงือกสาว) และเงือกตายาย ช่วยพาพระอภัยมณีหนีจาก ผีเสื้อสมุทรได้จนสำเร็จ และนางเงือกได้เป็นชายาของพระอภัยมณี จนมีโอรสด้วยกัน 1 องค์ ชื่อว่า สุดสาคร


ในภาษาไทยโบราณ รวมทั้งในวรรณคดีสมัยอยุธยา ถึงรัตนโกสินทร์ มีคำว่า เงือก มาแล้ว แต่มีความหมายแตกต่างกันไป พอจะสรุปได้ดังนี้
  • งู : คำว่าเงือกในภาษาไทยโบราณ และภาษาตระกูลไตบางถิ่นนั้น มักจะหมายถึง งู ดังปรากฏในลิลิตโองการแช่งน้ำ ที่ว่า "ท้าวเสด็จเหนือวัวเผือก เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทร์เป็นปิ่น" นั่นคือ เอางูมาพันรอบกาย, "เสียงเงือกงูว้าง ขึ้นลง" หมายถึง เสียงงู เหล่านี้เป็นภาษาเก่าที่ไม่ปรากฏแล้วในปัจจุบัน [1]
  • สัตว์ร้าย จำพวกผี หรือปิศาจ : ปรากฏในลิลิตพระลอ วรรณกรรมสมัยอยุธยาเช่นกัน
  • สัตว์ครึ่งคนครึ่งปลา : เชื่อกันว่าเงือกในลักษณะนี้ปรากฏครั้งแรกในวรรณคดีพระอภัยมณีดังกล่าวมาข้างต้น แต่อาจมีค้นเค้าจากเรื่องอื่นก็เป็นได้ [1]
  • มังกร คนไทบ้างกลุ่มในประเทศจีนและเวียดนาม จะเรียกมังกรว่า "เงือก" เช่น ไทปายี ไทเมือง และกะเบียว ในเวียดนาม


ภาพที่มักถูอ้างว่าเป้นซากของเงือก
พะยูนในท้องทะเล

Mermaid

mermaid is an aquatic creature, typically depicted with the head and torso of a girl or woman, and the tail of a fish. Mermaids appear in the folkloreliterature and popular culture of many countries worldwide. The masculine equivalent is called a "merman", and the general terms "merfolk" or "merpeople" are occasionally used to refer to groups without reference to gender.




History

Ancient Near East


The first known mermaid stories appeared in Assyria, ca. 1000 BC. The goddess Atargatis, mother of Assyrian queen Semiramis, loved a mortal shepherd and unintentionally killed him. Ashamed, she jumped into a lake to take the form of a fish, but the waters would not conceal her divine beauty. Thereafter, she took the form of a mermaid-human above the waist, fish below—though the earliest representations of Atargatis showed her as a fish with a human head and arm, similar to the Babylonian Ea. The Greeks recognized Atargatis under the name Derketo. Prior to 546 BC, the Milesian philosopher Anaximander proposed that mankind had sprung from an aquatic species of animal. He thought that humans, with their extended infancy, could not have survived otherwise.
A popular Greek legend turns Alexander the Great's sister, Thessalonike, into a mermaid after she died.[4] She lived, it was said, in theAegean and when she encountered a ship, she asked its sailors only one question: "Is King Alexander alive?" (Greek"Ζει ο Βασιλιάς Αλέξανδρος;"), to which the correct answer was: "He lives and reigns and conquers the world" (Greek: "Ζει και βασιλεύει και τον κόσμο κυριεύει"). This answer pleased her so she calmed the waters and wished the ship farewell. Any other answer would spur her into a rage. She would raise a terrible storm, with certain doom for the ship and every sailor on board.[5][6]
Lucian of Samosata in Syria (2nd century AD) in De Dea Syria ("Concerning the Syrian Goddess") wrote of the Syrian temples he had visited:
"Among them – Now that is the traditional story among them concerning the temple. But other men swear that Semiramis ofBabylonia, whose deeds are many in Asia, also founded this site, and not for Hera Atargatis but for her own Mother, whose name was Derketo"
"I saw the likeness of Derketo in Phoenicia, a strange marvel. It is woman for half its length, but the other half, from thighs to feet, stretched out in a fish's tail. But the image in the Holy City is entirely a woman, and the grounds for their account are not very clear. They consider fish to be sacred, and they never eat them; and though they eat all other fowls, they do not eat the dove, for she is holy so they believe. And these things are done, they believe, because of Derketo and Semiramis, the first because Derketo has the shape of a fish, and the other because ultimately Semiramis turned into a dove. Well, I may grant that the temple was a work of Semiramis perhaps; but that it belongs to Derketo I do not believe in any way. For among the Egyptians, some people do not eat fish, and that is not done to honor Derketo."[7]

see more in wikipedia



2012-06-05

มนุษย์หมาป่า Werewolf



การเป็นมนุษย์หมาป่า นั้นเชื่อว่า ถ่ายทอดได้หลายทาง ทางหนึ่ง คือ การดื่มน้ำจากแก้วเดียวกับแก้วที่มนุษย์หมาป่าดื่ม บางครั้งคนธรรมดาก็โดนคำสาปให้เป็น มนุษย์หมาป่า เชื่อกันว่า มนุษย์หมาป่า ถ่ายทอดถึงลูกหลานได้ นักปราชญ์ชาว สวิส ชื่อ พาราเซลซุส ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 คิดว่ามนุษย์หมาป่า เป็นการกลับมาของดวงวิญญาณของคนที่มีบาป และเคยทำความชั่วไว้ในขณะมีชีวิตอยู่
ลักษณะของคนที่เป็น มนุษย์หมาป่า สังเกตได้ คือ มีขนตามร่างกายมากผิดปกติ หรือมีลักษณะการเดินแปลก ๆ บางคนอยากเป็น มนุษย์หมาป่าและใช้เวทมนตร์คาถาที่มีเฉพาะให้กลายเป็นมนุษย์หมาป่าต้องประกอบพิธีกรรมเริ่มด้วยการเปลื้องผ้าร่ายมนต์ สวมใส่เข็มขัดและหน้ากากขนหมาป่า ไม่ว่าการกลายร่างเป็น มนุษย์หมาป่าจะเป็นไปโดยตั้งใจหรือไม่ มันก็จะเกิดขึ้นเฉพาะเวลากลางคืนในคืนพระจันทร์เต็มดวง เหยื่อที่ถูกล่ามีทั้งมนุษย์และสัตว์ โดยมากจะเป็นเพศหญิงที่ยังอยู่ในวัยแรกรุ่น

บทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่า  

มนุษย์หมาป่า (อังกฤษ: werewolf หรือ lycanthrope) เป็นมนุษย์ ซึ่งตามเทพปกรณัมหรือคติชนว่า มีความสามารถเปลี่ยนร่างตนเองเป็นหรือคล้ายสุนัขป่า เพราะถูกมนุษย์หมาป่าตนอื่นขบกัดเข้า หรือเพราะต้องคำสาป เชอร์แวสแห่งทิวเบรี (Gervase of Tilbury) นักกฎหมายในมัชฌิมยุค ตลอดจนเกเอิส เพโทรนิเอิส อาร์บีเทอร์ (Gaius Petronius Arbiter) ข้าราชการสมัยกรีกโบราณ บันทึกว่า การเปลี่ยนร่างของมนุษย์หมาป่านั้นมักเกี่ยวเนื่องกับการปรากฏขึ้นของเดือนเพ็ญ
ว่ากันว่า มนุษย์หมาป่ามีพละกำลังและประสาทสัมผัมเป็นเลิศผิดทั้งมนุษย์และสุนัขป่า ทั้งปวง และมนุษย์หมาป่านั้น จำเดิมมักปรากฏในปรัมปราของยุโรป ต่อมาจึงแพร่หลายทั่วไป ส่วนการเปลี่ยนร่างจากมนุษย์เป็นสัตว์เดรัจฉาน ปรากฏในคติชนทั่วไปทั่วโลกอยู่แล้ว และเป็นที่โดดเด่นมากในคติชนพื้นเมืองอเมริกัน ปัจจุบัน มนุษย์หมาป่าเป็นหัวเรื่องยอดนิยมในนวนิยาย ภาพยนตร์ และสื่อบันเทิงต่าง ๆ โดยมีเค้าโครงแตกต่างจากคติโบราณเป็นอันมาก เฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องสรรพคุณของกระสุนเงินในการพิชิตมนุษย์หมาป่าซึ่งโบราณไม่มี และการนำเสนอมนุษย์หมาป่าให้มีภาพลักษณ์ดุร้ายยิ่งขึ้น
มนุษย์มักพยายามแยกตัวเองออกจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น อะไรก็ตามที่ทำให้ขอบเขตระหว่าง มนุษย์กับสัตว์เลือนรางมักเป็นสิ่งที่น่ากลัวและสับสนเลื่อนลอย ความไม่แน่ชัดในขอบเขตของคนและสัตว์มีให้เห็น ดังเช่นในเรื่องของสิ่งมีชีวิตที่เป็นทั้งคนและสัตว์ มันสามารถกลายร่างไปเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งได้ โดยอาศัยอำนาจของปิศาจสิ่งมีชีวิตที่ว่านี้มักมีลักษณะความชั่วร้ายของทั้ง สองฝ่ายมารวมกัน เชื่อกันว่า แม่มดสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ได้ อย่างเช่น หมี หรือหมาป่า เสียงหมาหอนเป็นสัญลักษณ์ของภาพยนตร์สยองขวัญทำให้เราขนลุกได้ทุกครั้งที่ ได้ยินเสียงมันจะเห็นว่าเป็นอิทธิพลของภาพยนตร์อีกเหมือนกันที่มีส่วนช่วย สร้างภาพลักษณ์ที่น่ากลัวของสัตว์ชนิดนี้ แม้จะมีการทำสารคดีถ่ายทอดชีวิตความเป็นอยู่ของหมาป่าที่แท้จริงว่า มันไม่ได้มีความลึกลับที่ทำให้น่ากลัวแต่อย่างใด สารคดีช่วยนำเสนอธรรมชาติของหมาป่าที่รักสงบ ล่าเพื่อเป็นอาหารเท่านั้น และมีลักษณะเป็นสัตว์สังคม

สารคดีอาจทำให้มุมมองเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ไม่อาจลบภาพความลึกลับที่หมาป่า อาจกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งมนุษย์และออกทำร้ายผู้คนไปได้หมดสิ้น ถิ่นใดที่มีหมาป่า ก็มักจะเชื่อว่า ต้องมี มนุษย์หมาป่า อยู่อย่างแน่นอน คำว่า มนุษย์หมาป่า มาจากคำภาษาอังกฤษว่า werewolf เราคงจะพอคุ้นกับคำนี้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ก็มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับมนุษย์หมาป่า ชื่อว่า The American Werewolves in Paris แม้จะเป็น ภาพยนตร์แนวตลกแต่ก็มีพื้นฐานมาจากความเชื่อจริง ๆ were เป็นคำอังกฤษดั้งเดิมแปลว่ามนุษย์ และ wolf ก็แปลว่า หมาป่า รวมกันแล้วเป็น มนุษย์หมาป่า ส่วนในท้องถิ่นอื่นที่ไม่มี หมาป่าก็จะมีมนุษย์กึ่งสัตว์ที่มีในท้องถิ่น เช่น มนุษย์สิงโตในอัฟริกา มนุษย์เสือดำในอเมริกาใต้ และมนุษย์เสือ หรือเสือสมิงในอินเดียในไทยก็มีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับ เสือสมิง เช่นกัน สอบถามได้จากนายพราน หรือพนักงานป่าไม้ ที่คลุกคลีใกล้ชิดกับป่าและสัตว์ ธรรมชาติมักมีสิ่งที่น่าพิศวงแอบแฝงอยู่เสมอ เชื่อกันว่า พระจันทร์เต็มดวงมีอิทธิพลกับการเป็นมนุษย์หมาป่ามากคนธรรมดาไม่ควรอยู่นอก บ้านในคืนพระจันทร์เต็มดวงเพราะอาจมีอันตรายจาก มนุษย์หมาป่าได้ มนุษย์หมาป่าถ่ายทอดได้จากการดื่มน้ำจากแก้วเดียวกับแก้วที่มนุษย์หมา


Werewolf
the information from wikipedia


The Myths and Truths Surrounding Werewolf Legend:

So, what actually is werewolf or lycanthropy? Is it a fact based on concrete evidences? Is it a myth, fabrication of feeble minds? Is it an exaggeration of some other things? Well, all these questions have been puzzling mankind for last 5 centuries. Though many ingenious hypotheses have been suggested as possible explanations, definite conclusion can't be drawn. Some experts have tried to observe it as purely supernatural phenomena while others have relied on  scientific observations. Contradictions and debates still persist and will continue till any single theory solves the jigsaw which seems unlikely considering complexity and diversity of the topic. Nonetheless, the werewolf phenomenon has not perished yet; recent werewolf sightings are still reported.
The word werewolf is most likely to derive from two old-Saxon words, wer (meaning man) and wolf. Frequently used Greek terms Lycanthropy refers to the transformation process while Lycanthrope, which is in fact synonymous to werewolf, is the afflicted person. The popular definition of werewolf or lycanthrope is a man who transforms himself or being transformed into a wolf under the influence of full moon.

 

2012-05-08

โอกาสของธุรกิจความงาม

จากบทความที่อ่านเจอมาในเว็บ มุสลิมไทย โพสท์

ได้ความรู้ใหม่ แต่อาจจะเป็นเรื่องธรรมชาติ คือผู้หญิง
กับความรักสวยรักงาม ไม่ว่าอยู่ในประเทศไหน ก็คงคล้ายๆกัน
อย่าง ในอิหร่าน ในข่าวนี้




มุสลิมไทยดอทคอม อิหร่าน นำเข้าเครื่องสำอางมากสุดเป็นอันดับ 2 ในตะวันออกกลาง
ในปี 1979 หลังการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน เครื่องสำอางถูกห้ามนำเข้าประเทศ แต่ปัจจุบันลิปสติก และยาทาเล็บทะลักเข้าในอิหร่าน จนทำให้กลายเป็นประเทศที่นำเข้าเครื่องสำอางมากสุดเป็นอันดับ 2 ในตะวันออกกลาง

หลังการปฏิวัติมีการควบคุมอย่างเข้มงวด โดยมีการปรับ หรือจับผู้ที่แต่งหน้าทาปากที่เดินตามท้องถนน แต่หลังจากสงครามอิหร่าน-อิรัก ในปี 1980-1988 ความเข้มงวดเหล่านั้นค่อยจางลง

ทางการอนุญาตให้มีการนำเข้าเครื่องสำอางในกลางปี 1990 ทำให้มีผู้นิยมแต่งหน้ากันมากขึ้นโดยเฉพาะสาวเมืองกรุง ชาวอิหร่านเสียเงินไปกับเครื่องสำอางนำเข้าปีละประมาณ  2 พันล้านดอลล่าร์ และอิหร่านนำเข้าเครื่องสำอางคิดเป็นร้อยละ 29 ของตลาดในตะวันออกกลาง ซึ่งซาอุดี้อาระเบียอยู่ในอันดับต้นๆ

อิหร่านผลิตเครื่องสำอางเองเพียงไม่กี่ชนิด ทำให้ต้องนำเข้าเครื่องสำอางทั้งโดยถูกต้องตามกฎหมาย และโดยการลักลอบ ซึ่งสินค้ายี่ห้อดังๆ เช่น อิฟแซง ลอแรง, เกอแลง, ลอริอัล และบูร์จัว มีขายตามห้างสรรพสินค้าทันสมัยในเมืองใหญ่ๆ ในอิหร่าน

อับบาส นาจาฟี หัวหน้าสำนักงานต่อต้านการลักลอบนำเข้าสินค้ากล่าวว่า มีการประมาณว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางถูกนำเข้าปีละ 700 – 750 ล้านดอลล่าร์

มีการระแวดระวังในหน่วยงานด้านสุขภาพที่เตือนว่า การใช้เครื่องสำอางที่ลักลอบนำเข้าไม่ปลอดภัย เพราะอาจเจอกับของปลอมได้ ดังนั้น ควรเจาะจงซื้อสินค้าที่มีตรารับรองของทางราชการ

ปัจจุบันมีสินค้าคุณภาพต่ำจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาดมากขึ้น แต่มักจะได้รับความนิยมในตลาดล่างที่อยู่ตามต่างจังหวัด และในหมู่คนที่มีรายได้ต่ำเท่านั้น โดยมีการลักลอบนำเข้ามาประมาณร้อยละ 30

ตามรายงานการสำรวจของ TMBA ซึ่งเป็นสถาบันเอกชนสำรวจด้านเศรษฐกิจเปิดเผยว่า หญิงชาวเมืองใหญ่ในอิหร่านที่มีอายุระหว่าง 15 – 45 ปี ใช้เงินเฉลี่ยเดือนละ 7 ดอลล่าร์ไปกับการซื้อเครื่องสำอาง ซึ่งรายได้ขั้นต่ำในประเทศที่กำหนดไว้เดือนละ 300 ดอลล่าร์ และรายได้จริงที่เฉลี่ยเดือนละ 600-700 ดอลล่าร์ ถือว่าการซื้อเครื่องสำอางด้วยจำนวนเงินเท่านี้เหมาะสมดีแล้ว

ผลสำรวจยังระบุว่า สาเหตุที่นำเข้าเครื่องสำอางเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปัจจุบันอิหร่านมีประชากรที่อยู่ในวัยทำงาน และอยู่ในเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก ครึ่งหนึ่งของประชากรมีอายุต่ำกว่า 30 ปี และร้อยละ 65 อยู่ในเมืองหลวง

นับตั้งแต่ปี 1979 เป็นต้นมา สตรีในอิหร่านต้องแต่งกายตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด โดยไม่อาจเปิดเผยเรือนร่างและเส้นผมในที่สาธารณะ มีสตรีจำนวนมากที่พยายามจะออกนอกลู่นอกทาง โดยการสวมชุดกีฬา หรือสวมเสื้อผ้าที่เข้ารูปมากกว่าปกติ รวมทั้งการคลุมผมแบบแฟชั่นที่เปิดให้เห็นเรือนผมด้านหน้า แต่ก็มักจะถูกประณาม และบางครั้งก็มีการต่อต้านอย่างรุนแรงจากนักการศาสนาที่อยู่ในตำแหน่งสูง

ปัจจุบันสตรีอิหร่านที่เป็นข้าราชการยังคงไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งหน้าในที่ทำงาน

มีนา ซึ่งเป็นคนขายเครื่องสำอางกล่าวว่า อาจจะเป็นด้วยเหตุที่สาวอิหร่านต้องปกปิดร่างกายจนเหลือแต่ใบหน้าเท่านั้น จึงทำให้สาวๆ ต้องให้ความสนใจในการแต่งหน้าเป็นพิเศษ ซึ่งหลายคนใช้เวลาเป็นชั่วโมงหน้ากระจก   และหากในยุโรปจะเปลี่ยนเทรนด์ใหม่เป็นการไม่แต่งหน้า ก็คิดว่าสาวๆ อิหร่านคงไม่คิดตามแฟชั่นใหม่นี้เป็นแน่  www.muslimthai.com

ที่มาของบทความนี้


ทั้งนี้หากดูแนวโน้มของตลาด ก็อาจมองเห็นช่องทางสำหรับธุรกิจเกี่ยวเนี่องอื่นๆอีกหลายอย่าง แต่ก็ต้องระมัดระวัง
จะทำกันแบบเสรีเหมือนอย่างตลาดอื่นๆคงไม่ได้ คงต้องค่อยเป็นค่อยไป

2012-04-20

Memory Collection

เมมโมรี่คอลเลคชั่น

หนังสือ หายาก การเมืองเรื่องตัณหา และ สันดานหนังสือพิมพ์ ของท่าน สมัคร สุนทรเวช

เรียนรู้จากประสบการณ์ของท่านได้ จากหนังสือในยุคปีพศ. 2520-2521 ฉบับพิมพ์ครั้งแรก

คงไม่ต้องบอกว่าหายากไหม คุณค่าพิสูจน์ได้ในทุกแผ่น สภาพสมบรูณ์ที่สุด เล่มเดียวว่าหายากแล้ว

แต่โอกาสนี้ มีมาให้ท่านเก็บทีเดียว สองเล่ม เป็นชุดที่ต่อเนื่องกัน ใครที่ชื่นชอบในตัวตนของท่านสมัคร สุนทรเวช

นี่คือผลงานชิ้นคลาสสิค 

(จัดเป็นชุด 2 เล่มราคา 200 บาทครับค่าขนส่ง 50 บาท รวมเป็น 250 บาทครับ)

หน้าปก ทั้งสองฉบับ


ปกหลัง

ต้องการสั่งซื้อ ติดต่อได้ที่ อีเมล์ asuteery@gmail.com
 โอนเงินเข้าบัญชี ออมทรัพย์ ธ.กรุงไทย เลขที่ 121-1-16160-9

มีเหลือเพียงสองเล่มสุดท้ายเท่านั้น

2012-04-18

ม้าทรง ในเทศกาลกินเจ

ม้าทรง



 

เรื่องเหนือธรรมชาติ ที่เป็นเรื่องปกติ ในเทศกาลกินเจ


          การแสดงอิทธิฏิหารย์ ของบรรดาร่างทรง(หรือม้าทรง)
ของเหล่าเทพ ที่ลงมาประทับทรง มีให้ท่านพิสูจน์ด้วยสายตาตัวเอง
ในทุกๆปี การทิ่มแทงตนเองด้วยของมีคม ของแหลมต่างๆ ทั้งมีด ดาบ ขวาน
แทงทะลุเข้าไปตามร่างกายส่วนต่างๆ โดยมากมักจะแทงตามกระพุ้งแก้ม
ใบหู ผิวหนังตามแขน ขา แผ่นหลัง ซึ่งผู้ที่จะมาทำหน้าที่ม้าทรงในเทศกาล
ได้ จะต้องปฏิบัติตัวอยู่ในศีลอย่างเคร่งครัดเป็นเวลาก่อนหน้าเทศกาลนับเดือน
การแสดงอิทธฤทธิ์ของเทพ เชื่อว่าในภายหลังแผลต่างๆที่เกิดขึ้นจะเลือนหายไปอย่าง
รวดเร็ว แม้ระหว่างการประกอบพิธี ก็ไม่มีอาการเจ็บปวด ไม่ว่าจะเดินลุยไฟ ไต่บันไดมีด
กรีดด้วยของมีคมตามร่างกาย และลิ้น เหล่าม้าทรง แห่ไปตามถนนอย่างไม่สะทกสะท้าน




Vegetarian Festival



Basically Chinese in origin and practice, Vegetarian Festival has  assimilated
elements from other cultures over the years and is now a unique combination
of religious piety, ritual, merry-making, and spectacular displays of supernatural powers.

The festival's origins are obscure, but it appears to have started in the mid 19th
century in the centrally-located Kratu District among Chinese who flocked to work
as tin miners. Many of these immigrants were undoubtedly familiar with the
ancient Chinese practice of turning vegetarian for a period of time,
 generally during the ninth month of the lunar calendar. Abstaining from meat was
supposed to purify the body and mind, avert potential disaster, and generally
promote good fortune.

The festival's most colorful event and includes penitentiary acts of self-mutilation as the price for fullfillment of a previously requested event such as the cure of an illness or advent of financial success.



A thorough cleaning of the shrines takes place on the day before the ceremony begins.
Sandalwood and joss sticks are burned to purify the precincts. In the afternoon, a lage
post is erected before each shrine to surve as a residence for the nine spirits who preside
over the rites; their presence is symbolized by nine lamps hung on the post.

The gods are honored with vegetarian food offerings which are essentially the same
 as the diet observed by believers during the festival period: rice, cabbage, beans, carrots,
pumpkins, and various fruits. People may eat this food at the temples or take it home;
all the raw materials have been donated in advance by the community.

Each temple displays a formidable array of knives, swords, axes, and other weapons which
play a prominent role in the ceremony as it is presently observed on Phuket.
It is believed that the supernatural powers of the gods are transferred to those who have
purified themselves, thus enabling believers to endure a wide variety of self-inflicted ordeals, from forcing sharp rods through their cheeks to walking on red-hot coals, without pain either during or after. There is no record of such practices being part of the Vegetarian Festival in ancient chaina, and vary likely they were borrowed from India, where self mortification is frequently found in Hindu ritual.

Another integral part of all the observances is the Bridge Crossing Ceremony, which alleviates bad fortune. The participants believe these rites will not only relieve present difficulties but also  mitigate those which may lie in the future.

Finally, each temple stages a fire-walking and knife-blade climbing extravaganza.
To outsiders, these seem nothing short of miraculous, defying all physical laws, for the purified do indeed walk calmly over beds of glowing charcoal and scale ladders with rungs of razor-sharp blades.
To disprove trickery, viewers are welcome to try themselves- though the lack of volunteers is conspicuous.
on the final evening everyone gathers in the city for the grand bash, complete with non-stop firecrackers to chase away bad spirits and accompany the nine gods on their annual journey back to heaven. At midnight the last rites are perfomed, the explosions subside, and town returns to normal for another year.

2012-04-16

Payanak,พญานาค



พญานาค,Payanak

ตามความเชื่อของคนไทย พญานาคคืองูใหญ่ พญางู เจ้าแห่งงู ที่สุดของที่สุดของงู
มีอิทธิฤทธิ์ มีพิษร้ายแรง จะว่าเป็นสัตว์ที่มีเลือดเนื้อก็ไม่น่าใช่ จะเป็นเทพ เทวดาหรือก็ไม่เข้ากรอบ
มีที่อยู่คือเมืองบาดาล แปลงกายเป็นคน มาอยู่ร่วมกับชาวบ้านทั่วไปได้ มีตำนานในทางพุทธศาสนา
ว่ามีความเลื่อมใส ในพระศาสนา จนอยากออกบวช แต่ติดที่กฎของการจะบวชเป็นพระได้ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น จึงไม่ได้รับอนุญาติให้บวช เป็นที่มาของตำนานการบวชนาค หาอ่านได้ในตอนต่อๆไป
    นาค หรือ พญานาค (อังกฤษ: N?ga, สันสกฤต: ???) เป็นความเชื่อในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเรียกชื่อต่าง ๆ กัน แต่มีลักษณะร่วมกัน คือ เป็นงูขนาดใหญ่มีหงอน เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสู่จักรวาลอีกด้วย

ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะมาจากอินเดีย ด้วยมีปกรณัมหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ นาคถือเป็นปรปักษ์ของครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่

ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี 7 สี เหมือนสีของรุ้ง และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม

 

ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติ


ชาวฮินดูถือว่า นาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้

นาคมีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ มีอิทธิฤทธิ์และมีชีวิตใกล้กับคน สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น

นาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 จะต้องปรากฏรูปลักษณ์เป็นนาคเช่นเดิม คือ ขณะเกิด, ขณะลอกคราบ, ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับโดยไม่มีสติ และตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม

นาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง, ตะขาบ, คางคก, มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน

นาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์

นาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วสมสู่กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร

สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลกจนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ[1]

ความเชื่อเกี่ยวพันกับชีวิต น้ำและธรรมชาติ


นาคเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ จึงปรากฏความเชื่อเรื่องนาคที่เกี่ยวกับน้ำไว้ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช[[ไฟล์:

ที่ปราสาทพนมรุ้ง คูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ ดังนั้น นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมี พญานาค ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริงๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น

แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์

อย่างไรก็ตามยังมีความเชื่ออีกไม่น้อยที่คิดว่า พญานาคจะปรากฎให้เห็นกัน แบบตัวเป็นๆ ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลว่า เป็นสัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์ คือมันไม่จำเป็นต้องมีร่างกาย  และดำรงค์ชีวิตตามแบบสัตว์โลกทั่วไป ไม่ต้องกินอาหาร ไม่ต้องออกมาดำผุดดำว่าย แต่ความเชื่อ และความลึกลับในโลกนี้ก็ยังเดินเคียงกันไป

ภาพที่น่าฉงน

ภาพจากการบันทึกที่เชื่อว่าเป็นพญานาคในแม่น้ำโขง จ.มุกดาหาร
เกลียวคลื่นที่กลางบึง จ.สกลนคร



ภาพที่มักใช้เพื่อเชื่อมโยงการมีตัวตนของพญานาคในหมู่คนพื้นเมือง
แท้จริงก็เป็นเพียงปลาทะเลน้ำลึกชนิดหนึ่ง
จับกันได้อยู่เสมอ

Oarfish

Oarfish are large, greatly elongated, pelagic Lampriform fishes comprising the small family Regalecidae.[1] Found in all temperate to tropical oceans yet rarely seen, the oarfish family contains four species in two genera. One of these, the king of herrings (Regalecus glesne), is listed in the Guinness Book of World Records as the longest bony fish alive, at up to 17 metres (56 ft) in length.[2][3]
The common name oarfish is presumably in reference to either their highly compressed and elongated bodies, or to the former (but now discredited) belief that the fish "row" themselves through the water with their pelvic fins.[4] The family name Regalecidae is derived from the Latin regalis, meaning "royal". The occasional beachings of oarfish after storms, and their habit of lingering at the surface when sick or dying, make oarfish a probable source of many sea serpent tales.
Although the larger species are considered game fish and are (to a minor extent) fished commercially, oarfish are rarely caught alive; their flesh is not well regarded due to its gelatinous consistency.

Anatomy and morphology


The tapering, ribbony silver bodies of oarfish—together with an impressive, pinkish to cardinal red dorsal fin—help explain the perception of majesty taken from rare encounters. The dorsal fin originates from above the (relatively small) eyes and runs the entire length of the fish. Of the approximately 400 dorsal fin rays, the first 10 to 12 are elongated to varying degrees, forming a trailing crest embellished with reddish spots and flaps of skin at the ray tips. The pelvic fins are similarly elongated and adorned, reduced to 1 to 5 rays each. The pectoral fins are greatly reduced and situated low on the body. The anal fin is completely absent and the caudal fin may be reduced or absent as well, with the body tapering to a fine point. All fins lack true spines. At least one account, from researchers in New Zealand, describes the oarfish as giving off "electric shocks" when touched.[4]
Like other members of its order, the oarfish has a small yet highly protrusible oblique mouth with no visible teeth. The body is scaleless and the skin covered with easily abraded, silvery guanine. In the streamer fish (Agrostichthys parkeri), the skin is clad with hard tubercles. All species lack gas bladders and the number of gill rakers is variable.
Oarfish coloration is also variable; the flanks are commonly covered with irregular bluish to blackish streaks, black dots, and squiggles. These markings quickly fade following death. The king of herrings is by far the largest member of the family at a published total length of 11 metres (with unconfirmed reports of 15 metres or more) and 272 kilograms in weight. The streamer fish is known to reach 3 metres total length whilst the largest recorded specimen of Regalecus russelii measured just 540 centimetres standard length. It is probable that this little-known species can regularly reach a maximum length of at least 15.2 metres (50 ft).
From Wikipedia, the free encyclopedia

payanak

 

Payanak

The mythical animal payanak is represented in roofing omaments, statuary and
paintings in Buddhist temples throughout Cambodia, Thailand and Laos. It usually
 has a single dragon- like head, with a hom on the snout and a beard-Iike projection
from the chin, and a long, limbless snake- or fish-Iike body covered with scales.
 Although often referred to as a naga, it is derived from the "elephant-lion.. or gajasimha
 of the Khmer king Suryavarman II (reigned 1113-ca 1150). The payanak is associated
with numerous popular accounts and legends of Thailand and Laos and is frequently
portrayed in the popular as well as temple art of these countries.
A photograph bearing the false label "Payanak, Queen of the Nagas,
seized by American Arrny at Mekong River, Laos Military Base on June 27,1973.. has been
 widely distributed in Laos, Thailand, and elsewhere. The photo in question actually is
of a freshly dead oarfish, Regalecus glesne, stranded on Coronado Island, Califomia, on
 September 19, 1996.
see all

2012-02-25

วันเกิดบล็อค Unbelievable

บันทึกไว้อย่างเป็นทางการว่า บล็อคนี้ เพิ่งทำเสร็จเมื่อกี้นี้เอง
นั่นคือ ตอน สามทุ่ม ห้าสิบ วันที่25 กุมภาพันธ์ 2555
หวังว่า จะได้เขียนตอนต่อๆไปอีก
สวัสดี